Customer Segmentation คืออะไร ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นจริงหรือไม่ ?

ทุกคนรู้หรือไม่ ? ในการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ด้านการตลาด มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า การลงทุนโดยไม่มีแบบแผน หนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานที่คุณควรรู้ในการดำเนินธุรกิจคือ “Customer Segmentation” ซึ่งบทความนี้เราจะมาอธิบายว่ากลยุทธ์นี้คืออะไร สำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อการดำเนินธุรกิจ หากไม่อยากกลายเป็น “ผู้ตาม” ในการแข่งขันอันดุเดือดของการดำเนินธุรกิจ ณ ปัจจุบัน อ่านบทความนี้ให้จบ รับประกันว่าคุณจะได้แนวคิดดี ๆ ไปต่อยอดอย่างแน่นอน

Customer Segmentation คืออะไร สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร ?

หากถามว่า “การแบ่งกลุ่มลูกค้า” หรือ Customer Segmentation คืออะไร ? คำจำกัดความง่าย ๆ ก็คือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของสินค้าตัวนั้นๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือ บริการ ล้วนต้องการสิ่งที่เรียกว่า “ลูกค้า” ซึ่งกลยุทธ์ Customer Segmentation เป็นการแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งอาจแบ่งจาก ภูมิภาค , เพศ , ไลฟ์สไตล์ , พฤติกรรม หรือ ปัจจัยอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เพื่อให้สามารถกำหนดทิศทาง ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มั่นใจว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุดยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนเรากำลังฝึกฝนเพื่อไปแข่งขันกีฬา หากเราฝึกฝนกีฬาทุกประเภทที่มีให้ลงแข่ง แน่นอนว่าเราไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง ซึ่งสุดท้ายแล้วความพยายามของเรา อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลยก็เป็นได้ จะดีกว่าไหม ? หากเราโฟกัสกีฬาที่เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด จากนั้นก็เลือกที่จะลงแข่งขันในกีฬานั้นๆ เป็นหลัก และที่กล่าวมาก็เป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า Customer Segmentation คืออะไร นั่นเอง

Customer Segmentation แบ่งได้กี่แบบ มีอะไรบ้าง

จากที่เราได้อธิบายไปแล้วว่า Customer Segmentation คืออะไร คุณอาจกำลังสงสัยต่อว่า การแบ่งกลุ้มลูกค้าแบ่งอย่างไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ? ซึ่งจากข้อมูล ณ ปัจจุบัน การแบ่งกลุ่มลูกค้านั้นทำได้จากหลาย ๆ ปัจจัย ขึ้นอยู่กับการเลือกปรับใช้ของนักการตลาดแต่ละคน ส่วนมากแล้วก็จะรูปแบบการแบ่งส่วนตลาดออกมา ดังนี้

1. Geographic Segmentation เป็นการแบ่งส่วนทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจะใช้การที่ตั้งของกลุ่มเป้าหมาย เช่น แบ่งตามประเทศ แบ่งตามภูมิภาค แบ่งตามจังหวัด ไปจนถึงระดับชุมชน

2. Demographic Segmentation เป็นการแบ่งส่วนของประชากร ใช้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยพุ่งเป้าหมายไปที่ เพศ , อายุ , อาชีพ หรือ รายได้ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมมากที่สุด

3. Psychographic Segmentation เป็นการแบ่งส่วนตามบุคลิกของกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่าง นิสัยใจคอ , งานอดิเรก , ทัศนคติ และไลฟ์สไตล์ เป็นต้น

4. Behavioral Segmentation เป็นการแบ่งส่วนจากพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะต้องมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรม เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เป้าหมายส่วนมากจะเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อใหม่

5. Media Segmentation เป็นการแบ่งส่วนด้วยสื่อที่ใช้เข้าถึง ใช้สำหรับกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่อยากเข้าถึงผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ , สื่อสิ่งพิมพ์ หรือ เสิร์ชเอ็นจิน 

สรุป

สุดท้ายแล้ว หากให้สรุปว่า Customer Segmentation คืออะไร ? เราคงสามารถใช้คำว่า “หางเสือของธุรกิจ” ก็ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจาก Customer Segmentation จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า บริการ หรือ การสร้างแคมเปญโฆษณา ทุกอย่างล้วนต้องเริ่มต้นจากการ “แบ่งกลุ่มลูกค้า” และ “การเลือกเป้าหมาย” ประโยชน์ที่จะได้รับนอกจากความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ยังมีโอกาสสร้างความประทับใจกับลูกค้าได้มากกว่า แถมยังลดต้นทุนที่สิ้นเปลืองออกไปได้เยอะพอสมควรอีกด้วย